ประวัติศาสตร์ของรถถ่ายทอดสด (OB) คือภาพสะท้อนของวิวัฒนาการสื่อ จากจุดเริ่มต้นที่เป็นนวัตกรรมแห่งยุคสมัยอย่าง MCR 1 ในปี 1937 สู่การเป็นเครื่องมือสำคัญในการบันทึกประวัติศาสตร์โลก ไม่ว่าจะเป็นพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่สร้างตลาดโทรทัศน์ 3 การแข่งขันโอลิมปิกที่ผลักดันเทคโนโลยีสี 2 หรือพระราชพิธีสำคัญของชาติที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างประเทศ 5
ในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ใช่การปรับปรุงตัว "รถ" ให้ดีขึ้น (เช่น ทำให้ใหญ่ขึ้น หรือเป็น $4K$) แต่คือการ "สลาย" รถทิ้งไป (Dematerialization) ด้วยเทคโนโลยีอย่าง $REMI$ และ $5G$
มรดกที่แท้จริงของ OB Van จึงไม่ใช่ "ยานพาหนะ" แต่คือ "แนวคิด" ของการผลิตรายการสดจากทุกที่ในโลก (The concept of "location-agnostic" live production) ในอดีต แนวคิดนี้ต้องอาศัย "รถ" เพื่อขนส่งฮาร์ดแวร์และบุคลากรไปยังหน้างาน แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ แนวคิดเดียวกันนี้จะอาศัย "คลาวด์" (Cloud) และ "เครือข่าย" (Network) เป็นพาหนะแทน
รถ OB Van แบบดั้งเดิมจะยังคงมีอยู่ต่อไปสำหรับอีเวนต์ที่ใหญ่และซับซ้อนที่สุดในโลก (เช่น ฟุตบอลโลก หรือ โอลิมปิก) ในระยะใกล้นี้ แต่สำหรับตลาดส่วนใหญ่ (90%) อนาคตคือ $REMI$ และ $5G$ ซึ่งจะปลดปล่อยการถ่ายทอดสดออกจากพันธนาการของฮาร์ดแวร์ขนาดใหญ่ และทำให้มันกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง
ประวัติศาสตร์ "ไมค์ลอย" ในประเทศไทย
ในยุคที่ Content Creator สามารถเดินถือไมโครโฟนไร้สายขนาดจิ๋วไลฟ์สดขายของ, นักร้องบนเวทีคอนเสิร์ตเต้นสะบัดโดยไร้สายพันธนาการ, หรือผู้บริหารแถลงข่าวอย่างคล่องตัว... เราอาจลืมไปว่า "ไมโครโฟนไร้สาย" หรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า "ไมค์ลอย" นั้น มีประวัติศาสตร์และการเดินทางที่น่าสนใจกว่าที่เราคิด
บทความนี้จะพาทุกท่านย้อนรอยการเดินทางของ "ไมค์ลอย" จากนวัตกรรมราคาสูง สู่เครื่องมือสื่อสารที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของคนไทย
จุดเริ่มต้น: จากเวทีโลกสู่สยามประเทศ (ทศวรรษ 1970s - 1980s)
เทคโนโลยีไมโครโฟนไร้สายถือกำเนิดขึ้นบนโลกในช่วงทศวรรษ 1950s-1960s เพื่อตอบสนองความต้องการของนักแสดงที่ต้องการอิสระในการเคลื่อนไหวบนเวที แต่กว่าที่เทคโนโลยีนี้จะเดินทางมาถึงประเทศไทย ก็ล่วงเลยมาจนถึงช่วงประมาณทศวรรษ 1970s หรือ 1980s
ในยุคบุกเบิก "ไมค์ลอย" ถือเป็น ของหายากและมีราคาสูงมาก การใช้งานจึงจำกัดอยู่ในวงการระดับอาชีพเท่านั้น:
สถานีโทรทัศน์: ช่องฟรีทีวีในยุคบุกเบิก (เช่น ช่อง 4 บางขุนพรหม, ช่อง 7, ช่อง 5, ช่อง 9) เริ่มนำเข้ามาใช้ในรายการวาไรตี้โชว์ขนาดใหญ่ หรือรายการถ่ายทอดสดสำคัญๆ ที่พิธีกรหรือนักร้องจำเป็นต้องเคลื่อนที่
คอนเสิร์ตขนาดใหญ่: ศิลปินชื่อดังระดับประเทศ หรือศิลปินต่างประเทศที่มาเปิดการแสดงในไทย เริ่มนำ "ไมค์ลอย" มาใช้เพื่อเพิ่มอรรถรสในการแสดง
เทคโนโลยียุคแรก: ไมค์ลอยในยุคนี้มักเป็นระบบ VHF ซึ่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ เทอะทะ และมักประสบปัญหาเรื่องสัญญาณรบกวนหรือ "คลื่นแทรก" อยู่บ่อยครั้ง
ยุคทองแห่งการ "ลอย": เมื่อ "ลูกทุ่ง" และ "คาราโอเกะ" ขับเคลื่อน (ทศวรรษ 1990s)
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ "ไมค์ลอย" กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ไม่ใช่แค่ในห้องส่ง แต่คือบน "เวทีภูธร" และ "ร้านอาหาร"
ทศวรรษ 1990s คือยุคทองของวงการเพลงไทย โดยเฉพาะ วงการเพลงลูกทุ่งและหมอลำ การแสดงคอนเสิร์ตแบบ "วงดนตรีเต็มรูปแบบ" ที่มีนักร้องและหางเครื่องเป็นส่วนสำคัญ "ไมค์ลอย" ได้เข้ามาปลดล็อกศักยภาพของนักร้องลูกทุ่ง ให้สามารถเต้น รำ และเดินทักทายแฟนเพลงหน้าเวทีได้อย่างอิสระ กลายเป็นภาพจำที่ขาดไม่ได้ของการแสดงสด
ในขณะเดียวกัน กระแสคาราโอเกะ (Karaoke) ก็เฟื่องฟูอย่างสุดขีด ร้านอาหารและสถานบันเทิงต่างๆ เริ่มลงทุนซื้อชุด "ไมค์ลอย" (ที่เริ่มมีราคาถูกลงและหันมาใช้คลื่น UHF ที่เสถียรกว่า) เพื่อให้บริการลูกค้า นี่คือจุดที่ทำให้คนไทยทั่วไปได้สัมผัสและใช้งานไมค์ลอยอย่างแพร่หลายเป็นครั้งแรก
สู่ยุคดิจิทัล: เมื่อ "ทุกคน" คือผู้สื่อสาร (ทศวรรษ 2000s - ปัจจุบัน)
เมื่อเข้าสู่ยุค 2000s เทคโนโลยีไมโครโฟนไร้สายได้ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มตัว การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ส่งผลกระทบในวงกว้าง:
คุณภาพเสียงและความเสถียร: ไมค์ดิจิทัลให้คุณภาพเสียงที่คมชัด เทียบเท่าหรือดีกว่าไมค์สาย และสามารถบริหารจัดการคลื่นความถี่ได้ดีกว่า หมดปัญหาสัญญาณรบกวน
การจัดสรรคลื่นความถี่: เมื่อไมค์ลอยเป็นที่นิยมมากขึ้น การบริหารจัดการ "คลื่นความถี่" จึงกลายเป็นเรื่องสำคัญ โดยมี กสทช. (สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) เข้ามาเป็นผู้กำกับดูแลการใช้คลื่นความถี่ (เช่น ย่าน 800 MHz, 700 MHz) เพื่อไม่ให้รบกวนการสื่อสารอื่นๆ
การปฏิวัติของ Content Creator: จุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคปัจจุบัน คือการถือกำเนิดของไมโครโฟนไร้สายขนาดเล็ก (Compact Wireless Mic) สำหรับ Vlogger และ Content Creator แบรนด์อย่าง Rode, DJI, หรือ Saramonic ได้เปลี่ยน "ไมค์ลอย" จากอุปกรณ์สำหรับมืออาชีพบนเวที ให้กลายเป็นเครื่องมือทำมาหากินสำหรับคนทั่วไป
ความหลากหลายในการใช้งาน: ปัจจุบัน "ไมค์ลอย" แทรกซึมไปในทุกอณูของสังคมไทย ตั้งแต่ห้องประชุม, งานสัมมนา, การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย, งานแถลงข่าวของภาครัฐและเอกชน ไปจนถึงการไลฟ์สดขายของออนไลน์
อุตสาหกรรมโทรทัศน์ไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 6 ทศวรรษ หัวใจสำคัญที่ทำหน้าที่เป็น "ดวงตา" บันทึกภาพประวัติศาสตร์ ความบันเทิง และข่าวสาร ส่งตรงถึงบ้านเรือนประชาชนก็คือ "กล้องถ่ายรายการ" (Television Camera) ซึ่งเทคโนโลยีนี้ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด จากกล้องขาวดำขนาดมหึมา สู่ระบบดิจิทัล 4K ที่คมชัดและเชื่อมต่อกันทั้งโลกในปัจจุบัน
บทความนี้จะพาท่านย้อนรอยวิวัฒนาการของกล้องถ่ายรายการในสถานีโทรทัศน์ไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
การถือกำเนิดของสถานีโทรทัศน์แห่งแรกในประเทศไทย คือ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4 บางขุนพรหม (ปัจจุบันคือ ช่อง 9 MCOT HD) ในปี พ.ศ. 2498 ถือเป็นจุดเริ่มต้น
เทคโนโลยี: กล้องในยุคนี้เป็นกล้องสตูดิโอ (Studio Camera) ระบบขาวดำ (Monochrome)
ลักษณะ: มีขนาดใหญ่และน้ำหนักมหาศาล ต้องติดตั้งบน "เพเดสทัล" (Pedestal) หรือขาตั้งสามขาขนาดใหญ่ที่มีล้อเลื่อน
เซนเซอร์: ใช้เทคโนโลยีหลอดภาพ (Camera Tube) เช่น Image Orthicon ซึ่งมีความไวแสงต่ำมาก ทำให้สตูดิโอต้องใช้ไฟส่องสว่างที่ร้อนและเจิดจ้าอย่างยิ่ง
การใช้งาน: การใช้งานยุ่งยากซับซ้อน ต้องใช้ทีมงานหลายคน (ช่างกล้อง, ผู้ช่วย, คนดึงสายเคเบิล) กล้องเหล่านี้ถูกจำกัดการใช้งานไว้เฉพาะในสตูดิโอเท่านั้น การถ่ายทำนอกสถานที่ (OB - Outside Broadcasting) เป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง
ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคโทรทัศน์สี เมื่อ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เริ่มออกอากาศในปี พ.ศ. 2510 (และเริ่มแพร่ภาพสีระบบ PAL ในปี 2514) นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีกล้องครั้งสำคัญ
เทคโนโลยี: กล้องสีในยุคแรกยังคงใช้เทคโนโลยีหลอดภาพ แต่พัฒนาเป็นหลอด Plumbicon หรือ Saticon ซึ่งให้สีสันที่ดีกว่า
ความท้าทาย: กล้องสีมีความซับซ้อนกว่ากล้องขาวดำมาก โดยทั่วไปจะใช้หลอดภาพ 3 หลอด (สำหรับแม่สี แดง เขียว น้ำเงิน) ทำให้มีขนาดใหญ่และหนักกว่าเดิมมาก และมีราคาสูงลิบลิ่ว
การผลิต: การผลิตรายการยังคงเน้นในสตูดิโอเป็นหลัก การถ่ายทำข่าวหรือรายการนอกสถานีในยุคนี้ยังคงพึ่งพา "ฟิล์ม 16 มม." เป็นหลัก ซึ่งมีกระบวนการล้างและตัดต่อที่ใช้เวลานาน
ยุค 80s คือการปฏิวัติวงการโทรทัศน์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะการทำข่าว ด้วยการมาถึงของเทคโนโลยี ENG (Electronic News Gathering)
เทคโนโลยี: การถือกำเนิดของกล้องวิดีโอแบบพกพา (Portable) และเครื่องบันทึกวิดีโอเทป (VTR) ที่แยกส่วนกัน (เช่น ระบบ U-matic) และที่ปฏิวัติวงการที่สุดคือ Sony Betacam ในปี พ.ศ. 2525
Betacam คือจุดเปลี่ยน: Betacam รวมกล้องและเครื่องบันทึกเทปไว้ในตัวเดียว (Camcorder) เป็นกล้องแบบ "แบกบ่า" (Shoulder-mount) ใช้เทปคาสเซ็ตขนาดเล็ก ทำให้ทีมข่าวมีความคล่องตัวสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ผลกระทบ: สถานีโทรทัศน์ไทยทุกช่องเปลี่ยนมาใช้ระบบ ENG/Betacam สำหรับการทำข่าวและรายการนอกสถานที่อย่างรวดเร็ว วงการข่าวทีวีเปลี่ยนจาก "การรายงาน" เป็น "การเสนอเหตุการณ์สด" (แม้จะต้องวิ่งเทปกลับสถานี) เพราะลดขั้นตอนการล้างฟิล์มไปโดยสิ้นเชิง
ในสตูดิโอ: กล้องสตูดิโอก็พัฒนาขึ้น ใช้หลอดภาพที่ดีขึ้น (เช่น CCD ในยุคปลาย) แต่ยังคงมีขนาดใหญ่เพื่อความเสถียร
ปลายยุค 90s และต้น 2000s โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล วงการโทรทัศน์ไทยก็เช่นกัน
เทปดิจิทัล: จาก Betacam SP (อนาล็อก) พัฒนาสู่ Digital Betacam (DigiBeta) และ DVCAM ซึ่งให้คุณภาพของภาพและเสียงที่คมชัดกว่ามาก ไม่มีการสูญเสียคุณภาพจากการคัดลอก (Generation Loss)
เซนเซอร์ CCD: เทคโนโลยีหลอดภาพถูกแทนที่โดยสิ้นเชิงด้วยเซนเซอร์รับภาพแบบ CCD (Charge-Coupled Device) ทำให้กล้องมีขนาดเล็กลง กินไฟน้อยลง และให้ภาพที่คมชัดแม้ในที่แสงน้อย
Widescreen (16:9): สถานีโทรทัศน์เริ่มทดลองและผลิตรายการในอัตราส่วน 16:9 (จอกว้าง) เพื่อเตรียมพร้อมรับยุคใหม่ แม้ว่าส่วนใหญ่จะยังออกอากาศแบบ 4:3 (จอปกติ) อยู่ก็ตาม
ยุคนี้คือการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงที่สุด จากการเปลี่ยนผ่านสู่ "ทีวีดิจิทัล" (DVB-T2) ในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2557
HD (High Definition) คือมาตรฐาน: การประมูลทีวีดิจิทัลบังคับให้ทุกสถานีต้องส่งสัญญาณเป็นความละเอียดสูง (HD 1080i หรือ 720p) กล้องทุกตัวในสายการผลิต ทั้งในและนอกสตูดิโอ ถูก "บังคับ" ให้อัปเกรดเป็น HD ทั้งหมด
Workflow ไร้เทป (Tapeless): เทปหายไปโดยสิ้นเชิง ถูกแทนที่ด้วยการบันทึกลง Memory Card (เช่น SxS, P2, SD Card) ทำให้กระบวนการถ่ายทำไปจนถึงตัดต่อ (Post-Production) รวดเร็วแบบก้าวกระโดด
เซนเซอร์ CMOS: เทคโนโลยีเซนเซอร์แบบ CMOS เข้ามาแทนที่ CCD ในกล้องเกือบทุกระดับ ให้ Dynamic Range ที่ดีกว่า และรองรับความละเอียดที่สูงขึ้น
4K/UHD: แม้ว่าการออกอากาศส่วนใหญ่ยังเป็น HD แต่สถานีโทรทัศน์ชั้นนำได้ใช้ กล้อง 4K/UHD (Ultra HD) ในการผลิตรายการสำคัญ ละคร หรือการถ่ายทอดสดขนาดใหญ่ เพื่อ "Future-Proof" (เก็บต้นฉบับคุณภาพสูงสุดไว้สำหรับอนาคต)
ความหลากหลายของกล้อง: เราเห็นการใช้กล้องที่หลากหลายมากขึ้นในกองถ่าย ไม่ใช่แค่กล้อง Broadcast ขนาดใหญ่ แต่ยังรวมถึง กล้อง Cinema (สำหรับละคร), Mirrorless/DSLR (สำหรับรายการที่ต้องการความคล่องตัว) และ โดรน
IP Workflow: เทคโนโลยีล่าสุดคือการเปลี่ยนจากการเดินสายเคเบิล SDI (สายสัญญาณภาพ) แบบดั้งเดิม ไปเป็น ระบบเครือข่าย IP (เช่น NDI, SMPTE 2110) ซึ่งช่วยให้การผลิตมีความยืดหยุ่นสูง สามารถทำ Production จากระยะไกลได้
วิวัฒนาการมาอย่างยาวนาน ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีการออกอากาศ โดยสามารถแบ่งออกเป็นยุคสมัยตามลักษณะของสื่อบันทึกได้ดังนี้ครับ
ในยุคแรกเริ่ม รายการโทรทัศน์ส่วนใหญ่เป็นการ "ออกอากาศสด" (Live) หากต้องการบันทึกเก็บไว้ จะใช้วิธีที่เรียกว่า Kinescope คือการตั้งกล้องภาพยนตร์ถ่ายหน้าจอโทรทัศน์ ซึ่งคุณภาพจะไม่ค่อยดีนัก จนกระทั่งมีการคิดค้นเทปแม่เหล็กขึ้นมา
2-inch Quadruplex (Quad): (พ.ศ. 2499 / ค.ศ. 1956)
ลักษณะ: เป็นเทปม้วนเปิด (Open Reel) ขนาดหน้ากว้าง 2 นิ้ว ขนาดใหญ่และหนักมาก
การใช้งาน: ถือเป็นมาตรฐานแรกของสถานีโทรทัศน์ทั่วโลก ให้คุณภาพภาพสูงมากในยุคนั้น แต่เครื่องเล่นมีขนาดใหญ่เท่าตู้เย็น ตัดต่อยาก (ต้องใช้ผงเหล็กโรยเพื่อหาตำแหน่งและใช้ใบมีดตัดแปะเทป)
1-inch Type C: (ช่วงปลายยุค 70s - 80s)
ลักษณะ: เทปม้วนเปิดขนาด 1 นิ้ว
การใช้งาน: เข้ามาแทนที่ 2 นิ้ว เพราะคุณภาพยังคงสูงระดับ Broadcast แต่เครื่องมีขนาดเล็กลง ราคาถูกลง และสามารถทำภาพสโลว์โมชั่นหรือหยุดภาพได้ดีกว่า จึงนิยมใช้ในห้องส่งและการถ่ายทำละคร
การเข้ามาของตลับเทปทำให้การทำงานคล่องตัวขึ้นมาก โดยเฉพาะงานข่าว (ENG - Electronic News Gathering)
U-matic (3/4 นิ้ว): (พ.ศ. 2514 / ค.ศ. 1971)
ลักษณะ: ตลับเทปขนาดใหญ่ หนา
การใช้งาน: เป็นรูปแบบตลับ (Cassette) รุ่นแรกที่ปฏิวัติวงการข่าว ทำให้ช่างภาพสามารถแบกกล้องไปถ่ายทำนอกสถานที่และนำกลับมาออกอากาศได้ทันที ไม่ต้องรอล้างฟิล์มเหมือนแต่ก่อน
Betacam / Betacam SP: (พ.ศ. 2525 / ค.ศ. 1982)
ลักษณะ: ตลับขนาดคล้ายเทปวิดีโอตามบ้าน (Betamax) แต่คุณภาพสูงกว่ามาก
การใช้งาน: "ราชาแห่งวงการทีวี" เป็นฟอร์แมตที่ได้รับความนิยมสูงสุดและยาวนานที่สุดในยุคอนาล็อก ให้คุณภาพภาพและสีที่คมชัดมาก สถานีโทรทัศน์แทบทุกแห่งทั่วโลกใช้ Betacam SP เป็นมาตรฐานหลักในการถ่ายทำและตัดต่อ
เมื่อโลกเริ่มเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัล สื่อบันทึกก็ต้องปรับตัวเพื่อรองรับการตัดต่อผ่านคอมพิวเตอร์ (Non-linear Editing) และความคมชัดที่สูงขึ้น
Digital Betacam (DigiBeta):
สานต่อความสำเร็จจาก Betacam SP แต่บันทึกเป็นสัญญาณดิจิทัล ให้คุณภาพระดับ Master Grade นิยมใช้ทำต้นฉบับรายการ
DV / DVCPRO / DVCAM:
เทปขนาดเล็กลง (MiniDV) ราคาประหยัดลง นิยมใช้ในงานข่าวและรายการสารคดี
HDCAM / HDCAM SR:
เทปที่รองรับความคมชัดสูงระดับ High Definition (HD) ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์และละครฟอร์มยักษ์ก่อนจะเข้าสู่ยุคไร้เทป
ปัจจุบันสถานีโทรทัศน์ส่วนใหญ่เลิกใช้ม้วนเทป และเปลี่ยนมาบันทึกเป็น "ไฟล์คอมพิวเตอร์" ลงในสื่อบันทึกข้อมูลดิจิทัลแทน เพื่อความรวดเร็วในการส่งต่อข้อมูลและตัดต่อ
Professional Disc (XDCAM): แผ่นดิสก์ออปติคัล (คล้ายแผ่น Blu-ray ในตลับ) พัฒนาโดย Sony ทนทานและเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็ว
Solid State Memory Card: การ์ดหน่วยความจำความเร็วสูง เช่น P2 Card (Panasonic), SxS (Sony) หรือแม้แต่ SD Card เกรดสูง ข้อดีคือขนาดเล็ก ทนทานต่อแรงสั่นสะเทือน และโอนไฟล์เข้าคอมพิวเตอร์ได้ทันที
Video Server / Cloud: ในห้องควบคุมการออกอากาศ (Master Control Room) ปัจจุบันไม่ได้เปิดจากม้วนเทปแล้ว แต่จะเล่นไฟล์วิดีโอจากเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่โดยตรง และเริ่มมีการจัดเก็บข้อมูลบนระบบ Cloud มากขึ้น
การแพร่ภาพโทรทัศน์ในประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนานและเต็มไปด้วยสีสัน ไม่ต่างจากละครที่ฉายบนจอ จากจุดเริ่มต้นในฐานะ "ของใหม่" ที่หรูหราสำหรับชนชั้นนำ สู่การเป็นสื่อหลักที่ทรงอิทธิพลที่สุดในบ้าน และวิวัฒนาการสู่การต่อสู้แย่งชิงผู้ชมในยุคดิจิทัลที่เนื้อหาอยู่ไกลแค่ปลายนิ้วสัมผัส นี่คือการเดินทางของโทรทัศน์ไทยตลอดเกือบ 70 ปี
ยุคบุกเบิก: เสียงแรกและภาพแรก (พ.ศ. 2495 - 2510)
ประเทศไทยถือเป็น ประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่ ที่เริ่มมีการแพร่ภาพโทรทัศน์ จุดเริ่มต้น: การแพร่ภาพโทรทัศน์ครั้งแรกในประเทศไทยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2498 ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด โดยใช้ชื่อสถานีว่า "ไทยทีวีช่อง 4 บางขุนพรหม" (ปัจจุบันคือ ช่อง 9 MCOT HD)
ยุคขาวดำ: ในยุคแรก การออกอากาศเป็นภาพขาวดำ ส่งสัญญาณในระบบ 525 เส้น (เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกาในยุคนั้น) และจำกัดเวลาออกอากาศเพียงไม่กี่ชั่วโมงในตอนเย็น
สื่อของคนชั้นสูง: ในช่วงแรก โทรทัศน์เป็นสิ่งของหรูหราและมีราคาแพงมาก ผู้ชมส่วนใหญ่คือชนชั้นนำในกรุงเทพฯ การรับชมมักเป็นการรวมกลุ่มกันดูตามสถานที่สาธารณะหรือบ้านของผู้มีฐานะ
การขยายตัว: หลังจากนั้น กองทัพบกได้จัดตั้ง สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 (ททบ.ช่อง 7) ขึ้นในปี พ.ศ. 2501 (ปัจจุบันคือ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 หรือ ททบ.5)
ยุคแห่งสีสัน: การกำเนิด "ยุคทอง" ทีวีอนาล็อก (พ.ศ. 2510 - 2554)
ยุคนี้คือยุคที่โทรทัศน์กลายเป็นสื่อมวลชนอย่างแท้จริง เข้าถึงทุกครัวเรือน และเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมสมัยนิยม
การมาถึงของทีวีสี: การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2510 เมื่อ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 (ช่อง 7 สี) เริ่มแพร่ภาพโทรทัศน์สีเป็นครั้งแรกในระบบ 625 เส้น PAL ตามมาด้วย ไทยทีวีสีช่อง 3 ในปี พ.ศ. 2513
ยุค "ฟรีทีวี" ครองเมือง: เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ภูมิทัศน์สื่อไทยถูกกำหนดโดย "ฟรีทีวี" ไม่กี่ช่องหลัก ได้แก่ ช่อง 3, ช่อง 5, ช่อง 7 และ ช่อง 9 (และต่อมามี ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ และ ITV/TITV/Thai PBS)
ศูนย์กลางวัฒนธรรม: ยุคนี้คือ "ยุคทอง" (Golden Age) อย่างแท้จริง รายการโทรทัศน์ โดยเฉพาะละครหลังข่าว, รายการเกมโชว์, และการประกวดร้องเพลง มีอิทธิพลต่อสังคมอย่างสูง สร้างกระแส "คู่จิ้น" แฟชั่น และคำฮิตติดปาก เรตติ้งละครบางเรื่องสูงถึงขนาดทำให้ถนนโล่ง
ทางเลือกใหม่: ในช่วงปลายยุคนี้ เริ่มมี "ทีวีทางเลือก" เกิดขึ้นในรูปแบบเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม (เช่น UBC หรือ TrueVisions ในปัจจุบัน) ซึ่งนำเสนอเนื้อหาจากต่างประเทศและช่องเฉพาะทาง
ยุคเปลี่ยนผ่าน: สู่สมรภูมิทีวีดิจิทัล (พ.ศ. 2540 - 2557)
เมื่อเทคโนโลยีเริ่มเปลี่ยน โลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล ประเทศไทยก็ต้องปรับตัวตาม แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ท้าทาย
การถือกำเนิดของ ITV: ในปี พ.ศ. 2539 "สถานีโทรทัศน์ไอทีวี" (ITV) ถือกำเนิดขึ้นจากการปฏิรูปสัมปทาน ถือเป็นช่อง "ฟรีทีวี" ช่องที่ 6 ที่เน้นเนื้อหาข่าวสารที่เข้มข้น สร้างมิติใหม่ให้กับการแข่งขัน (ก่อนจะเปลี่ยนเป็น TITV และกลายเป็น Thai PBS ในปัจจุบัน)
การประมูลทีวีดิจิทัล: การเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2556 เมื่อคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จัด "การประมูลทีวีดิจิทัล"
ระเบิดศึกชิงจอ: ผลคือมีช่องทีวีดิจิทัลเชิงพาณิชย์เกิดใหม่ถึง 24 ช่อง (รวมกับช่องสาธารณะและช่องชุมชน) จากเดิมที่มีเพียง 6 ช่อง การแข่งขันสูงขึ้นอย่างฉับพลัน
ยุคปัจจุบัน: การต่อสู้ในยุค "On-Demand" และ "Multi-Screen" (พ.ศ. 2558 - ปัจจุบัน)
ยุคดิจิทัลไม่ได้มาเพียงลำพัง แต่มาพร้อมกับ "คู่แข่ง" ที่น่ากลัวที่สุด นั่นคือ "อินเทอร์เน็ต"
ความท้าทายของทีวีดิจิทัล: หลายช่องที่ประมูลมาต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ดุเดือด ต้นทุนที่สูง และพฤติกรรมผู้ชมที่เปลี่ยนไป ทำให้หลายช่องต้อง "คืนใบอนุญาต" หรือปิดตัวลง
การสิ้นสุดของอนาล็อก: ในที่สุด ระบบทีวีอนาล็อกที่อยู่คู่คนไทยมานานกว่า 60 ปี ก็ได้ยุติการแพร่ภาพลงอย่างสมบูรณ์ (จอดำ) ในช่วงปี พ.ศ. 2561-2563
คู่แข่งตัวจริง (OTT): ผู้ชมในยุคปัจจุบันไม่ได้รอชมรายการตามผังอีกต่อไป พวกเขาหันไปหาแพลตฟอร์ม Streaming (OTT - Over-the-Top) เช่น YouTube, Netflix, Viu, iQIYI และ LINE TV (ในอดีต) ที่สามารถเลือกชม "On-Demand" ได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต
การปรับตัวเพื่ออยู่รอด: สถานีโทรทัศน์ในปัจจุบันต้องเปลี่ยนบทบาทจาก "ผู้แพร่ภาพ" (Broadcaster) ไปเป็น "ผู้ผลิตเนื้อหา" (Content Provider) พวกเขาต้องต่อสู้ในทุกแพลตฟอร์ม ไม่ใช่แค่หน้าจอทีวีอีกต่อไป
นิยามใหม่ของความสำเร็จ: ความสำเร็จไม่ได้วัดจาก "เรตติ้ง" ตอนออกอากาศสดเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึง "ยอดวิว" ย้อนหลังใน YouTube, กระแสในโซเชียลมีเดีย (เช่น X หรือ Twitter) และการขายลิขสิทธิ์เนื้อหาไปยังต่างประเทศ